การตีความงานประเภทต่างๆ
การตีความ😉 |
การอ่านตีความนั้นผู้อ่านจะต้องสติปัญญาแทงทะลุสิ่งที่อ่านให้ได้ทั้งหมด
กล่าวคือ สามารถเข้าใจเจตนาและท่าทีของผู้เขียน และสรุปความคิด จับใจความสำัคัญ
และอธิบายขยายความได้ เป็นการอ่านที่ต้องใช้สติปัญญาสูงกว่าการอ่านจับใจความ กล่าวคือ
ต้องอ่านอย่างพิจารณา ไตร่ตรอง แล้วแยกแยะ หาเหตุผล
เพื่อให้เข้าใจเจตนาของผู้เขียน และเข้าใจเนื้อเรื่องอย่างถ่องแท้
อันจะส่งผลให้เป็นผู้ที่ได้รับความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มีเหตุผล
และสามารถนำประโยชน์จากการอ่านไปใช้ใน การดำเนินชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดจุดสำคัญของการอ่านตีตวามอยู่ที่การใช้สติปัญญาตีความหมายของคำ
หรือข้อความทั้งหมด รวมทั้งสิ่งแวดล้อมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องในเรื่องที่อานนั้นได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
ผู้อ่านจะตีความเรื่องที่อ่าน ได้ลึกซึ้งเพียงไร ขึ้นอยู่กับวัย ประสบการณ์
และสติปัญญาของผู้อานเป็นประการสำคัญ
หลักการอ่านตีความมีดังนี้
1.อ่านเรื่องที่จะตีความนั้นให้ละเอียด
เพื่อจับประเด็นสำคัญให้ได้ เริ่มด้วยการอ่านทบทวน เพื่อสำรวจว่า
ข้อความตอนใดมีข้อเท็จจริง ตอนใดผู้เขียนสอดแทรกความคิดเห็นหรือความรู้สึก หรือตอนใดแสดง
อารมณ์ของผู้เขียน ต่อจากนั้นพิจารณาว่าผู้เขียนมีเจตนาอย่างไรในการเสนองานเขียนชิ้นนั้น หรือผู้เขียน
มุ่งหวัง ให้ผู้อ่านสนองตอบอย่างไร มีแง่คิดอะไรที่น่าสนใจบ้าง สารข้อใดสำคัญที่สุด สารข้อใดสำคัญ
รอง ๆ ลงไป
ข้อความตอนใดมีข้อเท็จจริง ตอนใดผู้เขียนสอดแทรกความคิดเห็นหรือความรู้สึก หรือตอนใดแสดง
อารมณ์ของผู้เขียน ต่อจากนั้นพิจารณาว่าผู้เขียนมีเจตนาอย่างไรในการเสนองานเขียนชิ้นนั้น หรือผู้เขียน
มุ่งหวัง ให้ผู้อ่านสนองตอบอย่างไร มีแง่คิดอะไรที่น่าสนใจบ้าง สารข้อใดสำคัญที่สุด สารข้อใดสำคัญ
รอง ๆ ลงไป
2. ขณะที่อ่านต้องพยายามคิดหาเหตุผล และใคร่ครวญอย่างรอบคอบ
แล้วนำมาคิดไตร่ตรองกับความคิด
ของตนเอง ว่าเรื่องที่อ่านนั้นมีความหมายถึงสิ่งใด อาจเสนอแนวความคิดแทรกและความคิดเสริม เพราะ
ใน ขณะที่อ่านเรื่องผู้อ่านอาจเกิดความคิดแทรกบางประการระหว่างที่กำลังวินิจสารอยู่ หรือเกิด
ความคิดเสริม ที่สัมพันธ์กับแนวคิดของเรื่องหลังจากตีความสารจบแล้ว จึงควรบันทึกไว้ด้วยประโยค
ที่กระชับ สื่อความหมาย ชัดเจน และสมเหตุสมผล เพราะความคิดนั้นอาจได้รับความสนใจ และนำไป
คิดต่อให้เกิดประโยชน์ต่อไปได้
ของตนเอง ว่าเรื่องที่อ่านนั้นมีความหมายถึงสิ่งใด อาจเสนอแนวความคิดแทรกและความคิดเสริม เพราะ
ใน ขณะที่อ่านเรื่องผู้อ่านอาจเกิดความคิดแทรกบางประการระหว่างที่กำลังวินิจสารอยู่ หรือเกิด
ความคิดเสริม ที่สัมพันธ์กับแนวคิดของเรื่องหลังจากตีความสารจบแล้ว จึงควรบันทึกไว้ด้วยประโยค
ที่กระชับ สื่อความหมาย ชัดเจน และสมเหตุสมผล เพราะความคิดนั้นอาจได้รับความสนใจ และนำไป
คิดต่อให้เกิดประโยชน์ต่อไปได้
3. พยายามทำความเข้าใจกับคำหรือวลีที่เห็นว่ามีความสำคัญ
และจะต้องไม่ลืมตรวจดู บริบท(Context)
ด้วยว่าได้กำหนดความหมายของถ้อยคำนั้นอย่างไร
ด้วยว่าได้กำหนดความหมายของถ้อยคำนั้นอย่างไร
4. การตีความไม่ใช่การถอดคำประพันธ์ที่เป็นเพียงการเก็บความหมายของบทประพันธ์มาเรียบเรียงเป็น
ร้อยแก้วให้ครบความหมายเท่านั้นแต่การตีความเป็นการจับเอาแต่ใจวามสำคัญจะคงไว้ซึ่งคำของข้อความ
เดิมไม่ได้ ถ้าข้อความนั้นมีสรรพนามจะต้องเปลี่ยนเป็นสรรพนามบุรัษที่ 3 ทันที
ร้อยแก้วให้ครบความหมายเท่านั้นแต่การตีความเป็นการจับเอาแต่ใจวามสำคัญจะคงไว้ซึ่งคำของข้อความ
เดิมไม่ได้ ถ้าข้อความนั้นมีสรรพนามจะต้องเปลี่ยนเป็นสรรพนามบุรัษที่ 3 ทันที
5. การเรียบเรียงถ้อยคำที่ได้จากการตีความจะต้องมีความหมายที่ชัดเจน
ซึ่งผู้อ่านจะต้องได้รับการฝึกฝน
การวิเคราะห์สาร โดยเริ่มต้นจากการพิจารณารูปแบบ แล้วจึงพิจารณาแนวคิดและเนื้อเรื่องเพื่อดูว่ามีความ
กลมกลืนกันหรือไม่ จากนั้นพิจารณากลวิธีในการเสนอเรื่องและดำเนินเรื่องตลอดจนสำนวนภาษา สามารถ
การวิเคราะห์สาร โดยเริ่มต้นจากการพิจารณารูปแบบ แล้วจึงพิจารณาแนวคิดและเนื้อเรื่องเพื่อดูว่ามีความ
กลมกลืนกันหรือไม่ จากนั้นพิจารณากลวิธีในการเสนอเรื่องและดำเนินเรื่องตลอดจนสำนวนภาษา สามารถ
แบ่งลักษณะการวิเคราะห์งานเขียนได้
ดังนี้
5.1 การวิเคราะห์คำ
เป็นการอ่านที่ต้องสังเกตคำในประโยคที่อ่านว่าใช้ผิดแบบแผนของหลักภาษา อย่างไร
ผู้อ่านจะต้องรู้จักแก้ไขคำที่ผิดพลาดนั้นให้ถูกต้อง เช่น
ใช้คำผิดความหมาย
- ประเทศจีนได้ปฏิรูปอุตสาหกรรมจากแรงงานคนเป็นแรงงานเครื่องจักร
- ประเทศจีนได้ปฏิวัติอุตสาหกรรมจากแรงงานคนเป็นแรงงานเครื่องจักร
ใช้คำไม่เหมาะสม- อาจารย์สุรชัยโล่งอกที่โครงการสร้างสรรค์ค์เสียงศิลป์เข้าฝักแล้ว
- อาจารย์สุรชัยโล่งอกที่โครงการสร้างสรรค์ค์เสียงศิลป์เข้าร่องเข้ารอยแล้ว
ใช้คำฟุ่มเฟื่อย
- คนยากจนที่ขัดสนเงินทองย่อมต้องทำงานหนัก
- คนยากจน ย่อมต้องทำงานหนัก
5.2 การวิเคราะห์รูปแบบ ผู้อ่านจะต้องรู้ว่าข้อเขียนที่ตนอ่านนั้นมีรูปแบบการเขียนอย่างไร ได้แก่ ข่าว บทความ อนุทิน ฯลฯ
5.3 การวิเคราะห์ทัศนะของผู้แต่ง ผู้อ่านควรคิด พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบในขณะอ่านเพื่อจะได้รับ
ประโยชน์จากการอ่านได้อย่างมากที่สุด ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านมองเห็นทัศนะของผู้แต่งได้ว่าเป็นคนมองโลก
ในแง่ใด และยังเป็นความคิดในการพิจารณาว่าควรเห็นคล้อยตามด้วยหรือไม่การอ่านวิเคราะห์แบบนี้เป็น
พื้นฐานของ การอ่านอย่างมีวิจารณญาณต่อไป
5.4 การวิเคราะห์รส ในการอ่านหนังสือทั่วไป โดยเฉพาะหนังสือบันเทิงคดีนอกเดหนือจากการอ่านเพื่อ
เข้าใจความหมายแล้ว ผู้อ่านควรพิจารณารสของหนังสือนั้นด้วย ซึ่งเป็นแนวทางให้ผู้อ่านเข้าถึงเรื่อง
ที่อ่านได้ง่ายขึ้น รสของหนังสือมีมากมายหลายประเภท ดังที่กล่าวไว้ในตำราอลังการศาสตร์ของอินเดีย
ดังนี้
- ศฤงคารรส รสแห่งความรัก
- หาสยรส รสแห่งความขบขัน
- กรุณารส รสแห่งความเมตตากรุณา
- รุทธรส รสแห่งความโกรธเคือง
- วีรรส รสแห่งความกล้าหาญ
- ภยานกรส รสแห่งควมกลัว ความทุกข์เวทนา
- พีภตสรส รสแห่งความชัง ความรังเกียจ
- อพภูตรส รสแห่งความพิศวงประหลาดใจ
- ศานติรส รสแห่งความสงบ
ผู้อ่านจะต้องรู้จักแก้ไขคำที่ผิดพลาดนั้นให้ถูกต้อง เช่น
ใช้คำผิดความหมาย
- ประเทศจีนได้ปฏิรูปอุตสาหกรรมจากแรงงานคนเป็นแรงงานเครื่องจักร
- ประเทศจีนได้ปฏิวัติอุตสาหกรรมจากแรงงานคนเป็นแรงงานเครื่องจักร
ใช้คำไม่เหมาะสม- อาจารย์สุรชัยโล่งอกที่โครงการสร้างสรรค์ค์เสียงศิลป์เข้าฝักแล้ว
- อาจารย์สุรชัยโล่งอกที่โครงการสร้างสรรค์ค์เสียงศิลป์เข้าร่องเข้ารอยแล้ว
ใช้คำฟุ่มเฟื่อย
- คนยากจนที่ขัดสนเงินทองย่อมต้องทำงานหนัก
- คนยากจน ย่อมต้องทำงานหนัก
5.2 การวิเคราะห์รูปแบบ ผู้อ่านจะต้องรู้ว่าข้อเขียนที่ตนอ่านนั้นมีรูปแบบการเขียนอย่างไร ได้แก่ ข่าว บทความ อนุทิน ฯลฯ
5.3 การวิเคราะห์ทัศนะของผู้แต่ง ผู้อ่านควรคิด พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบในขณะอ่านเพื่อจะได้รับ
ประโยชน์จากการอ่านได้อย่างมากที่สุด ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านมองเห็นทัศนะของผู้แต่งได้ว่าเป็นคนมองโลก
ในแง่ใด และยังเป็นความคิดในการพิจารณาว่าควรเห็นคล้อยตามด้วยหรือไม่การอ่านวิเคราะห์แบบนี้เป็น
พื้นฐานของ การอ่านอย่างมีวิจารณญาณต่อไป
5.4 การวิเคราะห์รส ในการอ่านหนังสือทั่วไป โดยเฉพาะหนังสือบันเทิงคดีนอกเดหนือจากการอ่านเพื่อ
เข้าใจความหมายแล้ว ผู้อ่านควรพิจารณารสของหนังสือนั้นด้วย ซึ่งเป็นแนวทางให้ผู้อ่านเข้าถึงเรื่อง
ที่อ่านได้ง่ายขึ้น รสของหนังสือมีมากมายหลายประเภท ดังที่กล่าวไว้ในตำราอลังการศาสตร์ของอินเดีย
ดังนี้
- ศฤงคารรส รสแห่งความรัก
- หาสยรส รสแห่งความขบขัน
- กรุณารส รสแห่งความเมตตากรุณา
- รุทธรส รสแห่งความโกรธเคือง
- วีรรส รสแห่งความกล้าหาญ
- ภยานกรส รสแห่งควมกลัว ความทุกข์เวทนา
- พีภตสรส รสแห่งความชัง ความรังเกียจ
- อพภูตรส รสแห่งความพิศวงประหลาดใจ
- ศานติรส รสแห่งความสงบ
6. ในการอ่านตีความทั้งที่เกี่ยวกับเนื้อหา และน้ำเสียงจากเรื่อง
ผู้อ่านต้องคำนึงเสมอว่าเป็นเพียง
การตีความตามความรู้และความคิดของผู้อ่านเท่านั้น ผู้อื่นไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับความคิดของเราก็ได้
แต่จะพิจารณากันที่การให้เหตุผลเป็นประการสำคัญ
การตีความตามความรู้และความคิดของผู้อ่านเท่านั้น ผู้อื่นไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับความคิดของเราก็ได้
แต่จะพิจารณากันที่การให้เหตุผลเป็นประการสำคัญ
ที่มา : http://www.kkw.rmutr.ac.th/thai1/webpages/prc3.html
.......................................................................................................................................................................................................................
ลักษณะของการอ่านตีความ
การอ่านตีความเราสามารถแบ่งได้เป็น ๒ ลักษณะกว้างๆ คือ
1. การตีความตามเนื้อหา หมายถึง การนำข้อความจากเนื้อหาในเรื่องที่อ่านมาตีความว่าหมายถึงอะไร
ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสัญลักษณ์ต่าง ๆ
ที่มีแบบแผนเป็นแนวเทียบความหมายไว้ก็ได้ เช่น
แสงสว่าง
ความมืด
แก้ว
กา
ดอกฟ้า
|
หมายถึง
หมายถึง
หมายถึง
หมายถึง
หมายถึง
|
ปัญญา
กิเลส,ความไม่รู้
ความดีงาม,ของมีค่า
ผู้ต่ำต้อย
นางผู้สูงศักดิ์
|
2. การตีความตามน้ำเสียง หมายถึง
เมื่อเราอ่านข้อความทั้งหมดแล้ว
ต้องสามารถหาจุดมุ่งหมายหรือเจตนาของผู้เขียนเรื่องนั้น ๆ ได้
ว่าผู้เขียนมีเจตนาหรือจุดมุ่งหมายอย่างไร
ตัวอย่าง
ทางไปสู่เกียรติศักดิ์ จักประดับดอกไม้
หอมหวนยวนจิตไซร้ ไป่มี (ร.๖)
ตีความด้านเนื้อหา : การจะได้ชื่อเสียงเกียรติยศนั้น
ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ
ตีความด้านน้ำเสียง : ชื่อเสียงเกียรติยศนั้น
ใครๆก็อยากได้
ถ้าทุกคนได้ทุกอย่างดังที่คิด สิ้นชีวิตจะเอาของกองที่ไหน
ได้อย่างเสียอย่างช่างประไร ขอแต่ใจสงบสบสุขเทอญ
ตีความด้านเนื้อหา : ถ้าได้อะไรตามที่ใจเราอยากได้
ข้าวของต่าง ๆ ก็จะเต็มไปหมด
ตีความด้านน้ำเสียง : จงพอใจในสิ่งที่ตนมี / เป็นอยู่
คลื่นใหญ่และคลื่นน้อย ต่างทยอยซัดเข้ามา
อุปสรรคคอยขวางหน้า ต้องใจกล้าฝ่าฟันไป
หวังสู้เพื่ออยู่รอด คลื่นฟองฟอดหาหวั่นไม่
ตื่นเต้นตระหนกตกใจ คลื่นลูกใหม่ใหญ่กว่าเดิม
เราต้องเผชิญภัย ปลุกหทัยให้ฮึกเหิม
อย่ามัวคิดเคลิบเคลิ้ม หวังสงบหลบคลื่นลม
เมื่อไรที่ร่างกาย ฝั่งสุดท้ายถึงหรือจม
นั่นแหละจึงจะสม สุขสงบจบสิ้นเอย
ตีความด้านเนื้อหา : คลื่นทั้งหลาย
หมายถึง อุปสรรคต่างๆ ซึ่งจะซัดโถมเข้ามาในชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลา
ฉะนั้นเมื่อประสบกับอุปสรรค จงอย่าเกรงกลัว หรือหลีกหนี
ให้ต่อสู้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ตีความด้านน้ำเสียง : ผู้เขียนต้องการที่จะให้กำลังใจในการต่อสู้ฟันฝ่ากับอุปสรรคต่าง
ๆ ที่เข้ามาในชีวิต
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น